OECD ได้ปรับเพิ่มการคาดการณ์การเติบโตของเศรษฐกิจหลักต่างๆ โดยคาดว่าการเติบโตของ GDP ทั่วโลกในปี 2025 และ 2026 จะอยู่ที่ 2.9% ลดลงจากการคาดการณ์ก่อนหน้านี้ที่ 3.1% และ 3.0% ตามลำดับ
คาดว่าประเทศหลักต่างๆ จะมีการเติบโตทางเศรษฐกิจเดินหน้าโดยมีรายละเอียดดังนี้:
- สหรัฐฯ จะเติบโต 1.6% ในปี 2025 ลดลงจาก 2.2% และอยู่ที่ 1.5% ในปี 2026 ลดลงเล็กน้อยจาก 1.6%
- ยูโรโซน คาดว่าจะเติบโต 1.0% ในปี 2025 และ 1.2% ในปี 2026 โดยตัวเลขยังคงไม่เปลี่ยนแปลงจากการคาดการณ์ก่อนหน้า
- จีน คาดการณ์การเติบโตในปี 2025 อยู่ที่ 4.7% ลดลงเล็กน้อยจาก 4.8% และคงอยู่ที่ 4.3% ในปี 2026
- สหราชอาณาจักร คาดว่าจะเติบโต 1.3% ในปี 2025 และ 1.0% ในปี 2026 ซึ่งเป็นการปรับลดลง
- ญี่ปุ่น คาดว่า GDP จะเติบโต 0.7% ในปี 2025 ลดลงจาก 1.1% และจะเพิ่มขึ้นเป็น 0.4% ในปี 2026 เพิ่มขึ้นจาก 0.2%
องค์กร OECD ชี้ว่าการปรับคาดการณ์เหล่านี้สะท้อนผลกระทบจากนโยบายเศรษฐกิจ เช่น ภาษีศุลกากร และเงื่อนไขด้านอุปสงค์ ซึ่งเป็นปัจจัยสำคัญในการกำหนดแนวโน้มการเติบโต
การปรับปรุงล่าสุดจาก OECD ไม่เพียงสะท้อนถึงการชะลอตัวทางเศรษฐกิจในระดับโลก แต่ยังชี้ให้เห็นถึงการเปลี่ยนแปลงมุมมองเกี่ยวกับนโยบายที่กำลังเกิดขึ้นอย่างต่อเนื่อง รวมถึงสภาพการให้สินเชื่อที่เข้มงวดขึ้น และระดับการบริโภคที่ลดลง
ในกรณีของสหรัฐฯ แนวโน้มการเติบโตที่ลดลงสำหรับปี 2025 จาก 2.2% เหลือ 1.6% แสดงถึงการชะลอตัวภายในประเทศ ซึ่งอาจเป็นตัวกระตุ้นให้ Federal Reserve พิจารณาลดอัตราดอกเบี้ยได้ง่ายขึ้น ซึ่งจะส่งผลต่อโครงสร้างการกำหนดราคาภายในตลาด โดยเฉพาะในเส้นอัตราผลตอบแทนช่วงปลายระยะสั้น
ในเขตยูโร การคงตัวของตัวเลขการเติบโตสะท้อนถึงทิศทางของ ECB ที่เลือกจะคงอัตราเงินเฟ้อไว้ตามที่คาดการณ์ แต่ในขณะเดียวกันก็พยายามผลักดันให้มีนโยบายผ่อนคลายทางการเงิน ซึ่งมีผลสร้างความเปลี่ยนแปลงในตลาดพันธบัตร โดยเฉพาะการบีบอัดของส่วนต่างผลตอบแทน
ในกรณีของประเทศจีน แม้ว่าการปรับคาดการณ์จาก 4.8% เป็น 4.7% จะดูเล็กน้อย แต่สะท้อนถึงจุดสัมผัสสำคัญว่า เศรษฐกิจจีนยังไม่สามารถกลับคืนสู่ภาวะก่อนเกิดโรคระบาดได้เต็มที่ ซึ่งสร้างแรงกดดันอย่างมากต่อผู้ผลิตในภูมิภาค และทำให้ความไม่แน่นอนเพิ่มขึ้น
สำหรับสหราชอาณาจักร การลดคาดการณ์ GDP เหลือ 1.3% ในปี 2025 และ 1.0% ในปี 2026 แสดงถึงแนวโน้มการเติบโตที่อ่อนแอภายใต้แรงกดดันจากผู้บริโภคและนโยบายที่ไม่มีแรงสนับสนุนเพียงพอ ซึ่งเป็นปัจจัยที่อาจนำไปสู่ความผันผวนในตลาด โดยเฉพาะในกรณีที่ดัชนี CPI มีการเปลี่ยนแปลงที่ไม่คาดคิด
เศรษฐกิจญี่ปุ่นยังคงสามารถรักษาการเติบโตที่ต่ำ โดยมีอัตราการเติบโตคาดไว้ที่ 0.7% ในปี 2025 และลดลงเพียงเล็กน้อยเป็น 0.4% ในปี 2026 ซึ่งชี้ให้เห็นถึงความเปราะบางของอุปสงค์ภายในประเทศและปัญหาด้านโครงสร้าง เช่น ค่าจ้างที่หยุดนิ่ง โดยผลกระทบต่ออัตราดอกเบี้ยและความต้องการ JGB ระยะยาวยังคงปรากฏชัดเจน
จากทั้งหมดนี้ บ่งชี้ได้ว่าวัฏจักรนโยบายการเงินในปัจจุบันมีความสลับซับซ้อนขึ้น และจะเป็นตัวขับเคลื่อนความผันผวนในสินทรัพย์ต่างๆ มากกว่าปัจจัยพื้นฐานทางเศรษฐกิจเพียงอย่างเดียว
เราจำเป็นต้องติดตามการเปลี่ยนแปลงทางนโยบายอย่างใกล้ชิด ไม่เพียงแต่การประกาศข้อมูลใหม่เท่านั้น แต่รวมถึงการตีความของตลาดที่อาจนำมาซึ่งความผันผวนเพิ่มเติม โดยเฉพาะในระดับของกลยุทธ์การจัดการความเสี่ยง ที่เน้นการกำหนดอัตราผลตอบแทนในระยะสั้นมากกว่าการลงทุนระยะยาว
นี่ไม่ใช่เพียงการตอบสนองต่อข้อมูลตัวเลขของประเทศใดประเทศหนึ่ง แต่เป็นการทำความเข้าใจถึงแนวโน้มและการตอบสนองของผู้กำหนดนโยบาย เช่น Jerome Powell, Christine Lagarde หรือผู้นำนโยบายจีน ซึ่งมีผลต่อทิศทางการลงทุนทั่วโลก
เมื่อมุมมองนโยบายเปลี่ยน เราก็ควรเปลี่ยนเครื่องมือและกลยุทธ์ทางการลงทุนให้เหมาะสมอย่างมีประสิทธิภาพ ไม่ใช่เฉพาะในภาพรวม แต่รวมถึงในระยะเวลาสั้นๆ ที่การบริหารความเสี่ยงมีความสำคัญมากกว่าที่ผ่านมา
เริ่มซื้อขายทันที – คลิกที่นี่ เพื่อสร้างบัญชีจริงของ VT Markets