คริสติน ลาการ์ด ประธานธนาคารกลางยุโรป (ECB) กล่าวถึงการเปลี่ยนแปลงของค่าเงินดอลลาร์ในช่วงที่มีความไม่แน่นอน โดยสังเกตเห็นการอ่อนค่าอย่างไม่คาดคิด เธอระบุว่าสาเหตุมาจากความสงสัยเกี่ยวกับนโยบายของสหรัฐฯ ในกลุ่มตลาดการเงินบางกลุ่ม
เธอเน้นย้ำถึงเสถียรภาพที่ยุโรปมองว่าเป็นพื้นที่ทางเศรษฐกิจและการเมือง ท่ามกลางความท้าทายต่อหลักนิติธรรมและกฎการค้าในสหรัฐฯ การรับรู้ดังกล่าวอาจสนับสนุนค่าเงินยูโร ซึ่งได้เห็นการเพิ่มขึ้นเล็กน้อย โดย EUR/USD ซื้อขายที่ระดับ 1.1175
ECB ซึ่งมีสำนักงานใหญ่อยู่ที่เมืองแฟรงก์เฟิร์ต ประเทศเยอรมนี บริหารจัดการนโยบายการเงินและอัตราดอกเบี้ยสำหรับเขตยูโร โดยมุ่งเป้าไปที่เสถียรภาพด้านราคาและอัตราเงินเฟ้อที่ประมาณ 2%
ECB ใช้เครื่องมือต่างๆ เช่น:
- การปรับอัตราดอกเบี้ย
- การผ่อนคลายเชิงปริมาณ (QE)
ซึ่งในสถานการณ์วิกฤติ มาตรการ QE จะช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจ แต่โดยปกติแล้วจะทำให้ค่าเงินยูโรอ่อนค่าลงโดยการซื้อสินทรัพย์จากธนาคาร
ในทางตรงกันข้าม การผ่อนคลายเชิงปริมาณ (QT) เกิดขึ้นเมื่อเศรษฐกิจฟื้นตัวและอัตราเงินเฟ้อเพิ่มขึ้น ซึ่งเกี่ยวข้องกับ:
- การหยุดการซื้อพันธบัตร
- การหยุดการลงทุนซ้ำพันธบัตรที่ครบกำหนด
แนวทางเหล่านี้ทำให้เงินยูโรแข็งแกร่งขึ้น เครื่องมือทางนโยบายเหล่านี้จึงเป็นส่วนหนึ่งของกลยุทธ์ของ ECB ในการจัดการเศรษฐกิจของเขตยูโรอย่างมีประสิทธิภาพ
ความเห็นของลาการ์ดชี้ให้เห็นว่า การรับรู้ทางภูมิรัฐศาสตร์ ไม่ใช่แค่ข้อมูลเศรษฐกิจเท่านั้นที่สามารถส่งผลต่อค่าเงิน โดยเฉพาะการอ่อนค่าของเงินดอลลาร์ที่เกิดจากความไม่เชื่อมั่นในกลไกทางการเมืองของสหรัฐฯ
เธอกล่าวเตือนว่า สกุลเงินเป็นเรื่องของระบบความเชื่อ ไม่ใช่เพียงแค่ตัวเลขและดัชนีเศรษฐกิจเท่านั้น ซึ่งการเบี่ยงเบนทางความเชื่อมั่นนั้นไม่ควรละเลย และอาจสะท้อนถึงการที่ยุโรปเริ่มถูกมองว่าน่าเชื่อถือมากกว่าสหรัฐฯ
แม้จะยังมีปัญหาภายในของตนเอง ยุโรปกลับไม่มีความวุ่นวายในสถาบันหลักต่างๆ เหมือนอย่างที่สหรัฐฯ ประสบอยู่ ส่งผลให้มีความสนใจในเงินยูโรเพิ่มขึ้น โดยอัตราแลกเปลี่ยน EUR/USD อยู่ที่ 1.1175
ธนาคารกลางยุโรปมีบทบาทสำคัญในการควบคุมเสถียรภาพด้านราคาโดยใช้เครื่องมือหลัก ได้แก่:
- การปรับอัตราดอกเบี้ยขึ้น เมื่อเศรษฐกิจร้อนแรง
- การผ่อนคลายเชิงปริมาณ (QE) เมื่อเศรษฐกิจซบเซา
มาตรการ QE จะเพิ่มสภาพคล่องเข้าสู่ระบบผ่านการซื้อสินทรัพย์ทางการเงิน ซึ่งมีผลทำให้ค่าเงินยูโรอ่อนตัวลง
อย่างไรก็ตาม ณ ปัจจุบัน มาตรการ QE เริ่มลดลง ขณะที่เงินเฟ้อใกล้เข้าสู่ระดับเป้าหมายและตัวบ่งชี้ทางเศรษฐกิจเริ่มฟื้นตัว การหยุดลงทุนซ้ำพันธบัตรหรือแม้แต่ลดการถือครองพันธบัตร เป็นสัญญาณของการเข้าสู่ช่วง QT
เมื่อมองจากมุมมองนักลงทุน การลดการถือครองพันธบัตรและการหยุดการพิมพ์เงินเข้าสู่ระบบจะทำให้มูลค่าของยูโรแข็งขึ้น โดยเฉพาะเมื่ออัตราดอกเบี้ยยังคงอยู่ในระดับสูง
ดังนั้นในระยะสั้น มีหลายปัจจัยที่กำลังเปลี่ยนแปลง ได้แก่:
- ข้อสงสัยเกี่ยวกับเสถียรภาพทางการเมืองของสหรัฐฯ
- นโยบายของธนาคารกลางยุโรป (ECB) ที่ระมัดระวังมากขึ้น
- เงินยูโรที่เริ่มได้รับความเชื่อมั่นเพิ่มขึ้น
ผู้ซื้อขายตราสารอนุพันธ์ควรจับตาการเปลี่ยนแปลงของนโยบายเหล่านี้อย่างใกล้ชิด โดยเฉพาะจังหวะของการดำเนินการทางการเงินและตัวบ่งชี้เศรษฐกิจ
ตัวอย่างเช่น หาก ECB ยังคงดำเนินนโยบายการคุมเข้มทางการเงินภายใต้สภาพตลาดที่ไม่ผันผวนมาก เงินยูโรอาจได้รับแรงสนับสนุนเพิ่มเติม
เครื่องมือทางการเงินบางประเภท เช่น โครงสร้างออปชันที่ใช้ประโยชน์จากความผันผวนต่ำ อาจไม่ได้มีช่องทางเปิดอยู่นาน
ในเวลาเดียวกัน การติดตามสถานการณ์ในฝั่งสหรัฐฯ ก็เป็นสิ่งสำคัญ โดยเฉพาะรอบด้านของ:
- นโยบายการคลัง
- จุดยืนของธนาคารกลางสหรัฐฯ (เฟด)
หากความเชื่อมั่นต่อเศรษฐกิจสหรัฐฯ ลดลง ขณะที่ ECB เดินหน้านโยบาย QT และตัวแปรทางเศรษฐกิจของยูโรโซนปรับตัวดีขึ้น แม้เพียงน้อย ความเห็นเอียงไปทางยูโรอาจเกิดขึ้นรวดเร็ว
ตลาดมักจะตอบสนองต่อกระแสเหล่านี้ล่วงหน้าก่อนที่จะมีการยืนยันอย่างเป็นทางการ
การติดตามข้อมูลในเชิงคาดการณ์ เช่น:
- อัตราเงินเฟ้อ “เบรกอีเวน” 5 ปี (Five-Year Breakeven)
- ความสัมพันธ์ข้ามสินทรัพย์ (Cross-Asset Correlations)
จะเป็นเครื่องมือที่สำคัญในการเตรียมกลยุทธ์การเทรดให้สอดคล้องกับจุดเปลี่ยนในตลาด
อีกหนึ่งปัจจัยคือข้อมูลเกี่ยวกับตำแหน่งการลงทุน (Positioning Data) ที่แสดงให้เห็นว่า นักลงทุนเริ่มหันกลับมาลงทุนในความเสี่ยงที่พึ่งพายูโรเพิ่มมากขึ้น
แน่นอนว่ายังไม่มีอะไรปลอดภัยเสมอไป ความผันผวนของตลาด หรือเหตุการณ์ไม่คาดฝันจากข่าวของธนาคารกลางหรือการเมือง อาจทำให้ทิศทางตลาดเปลี่ยนได้
อย่างไรก็ตาม ในภาพรวม แนวโน้มขาขึ้นเล็กน้อยของยูโรยังถือเป็นโอกาสที่น่าสนใจสำหรับนักลงทุนที่ตัดสินใจเชิงกลยุทธ์ในขณะนี้
เริ่มซื้อขายทันที – คลิกที่นี่ เพื่อสร้างบัญชีจริงของ VT Markets