ความตึงเครียดทางการค้าระหว่างสหรัฐฯ และจีนดูเหมือนจะคลี่คลายลง โดยทั้งสองประเทศตกลงที่จะลดภาษี โดยสหรัฐฯ จะลดภาษีจาก 145% เหลือ 30% ในขณะที่จีนจะลดภาษีจาก 125% เหลือ 10% เริ่มตั้งแต่วันที่ 14 พฤษภาคม ข้อตกลงเบื้องต้นนี้จะระงับภาษีเพิ่มเติม 24% เป็นเวลา 90 วัน ซึ่งเป็นเวลาสำหรับการเจรจาเพิ่มเติม
อย่างไรก็ตาม หากภาษีเพิ่มเติมเหล่านี้กลับมาเพิ่มขึ้นอีกครั้ง การเติบโตของจีดีพีของจีนอาจลดลงประมาณ 1.0ppt ในช่วง 1 ปีข้างหน้า เพื่อรับมือกับผลกระทบจากภาษี จีนอาจออกแพ็คเกจทางการเงินที่ได้รับการอนุมัติในเดือนมีนาคม เพื่อชดเชยผลกระทบทางเศรษฐกิจบางส่วน หากไม่มีมาตรการทางการเงินเพิ่มเติม การเติบโตของจีดีพีอาจเผชิญกับความเสี่ยงในระดับปานกลาง โดยคาดว่าจะอยู่ที่ 4.8% ภายในปี 2025
การผ่อนปรนนโยบายการเงินล่าสุดของจีนสอดคล้องกับความคาดหวังทางเศรษฐกิจ ซึ่งอาจนำไปสู่การลดอัตราดอกเบี้ยอีกครั้งในไตรมาสที่ 4 สงครามภาษีศุลกากรทั่วโลกที่ส่งผลให้เกิดภาวะเงินฝืด ทำให้คาดการณ์อัตราเงินเฟ้อ CPI ของจีนสำหรับปี 2025 ลดลงจาก 0.7% เป็น -0.1%
ข้อมูลดังกล่าวมีความเสี่ยงและความไม่แน่นอนในอนาคต และจำเป็นต้องทำการวิจัยอย่างละเอียดถี่ถ้วนก่อนตัดสินใจทางการเงิน ไม่มีการรับประกันว่าข้อมูลจะปราศจากข้อผิดพลาด และความเสี่ยงในการลงทุน รวมถึงการสูญเสียเงินต้นที่อาจเกิดขึ้น เป็นความรับผิดชอบของนักลงทุน
ความตึงเครียดทางการค้าระหว่างสหรัฐอเมริกาและจีนที่คลี่คลายลงเมื่อเร็วๆ นี้ ซึ่งแสดงให้เห็นด้วยข้อตกลงร่วมกันที่จะลดภาษีศุลกากรอย่างมากตั้งแต่วันที่ 14 พฤษภาคม จะช่วยบรรเทาความตึงเครียดชั่วคราวได้ โดยรายละเอียดของการลดภาษีมีดังนี้:
- สหรัฐฯ วางแผนที่จะลดภาษีนำเข้าจาก 145% เหลือ 30%
- จีนเตรียมลดภาษีนำเข้า จาก 125% เหลือ 10%
- สหรัฐฯ ระงับภาษีศุลกากรเพิ่มเติม 24% เป็นเวลา 90 วัน เพื่อให้มีเวลาสำหรับการเจรจาเพิ่มเติม
แน่นอนว่าช่องว่างนี้ไม่ได้ถาวร และการกลับมาของภาษีศุลกากรยังคงเป็นไปได้หากการเจรจาล้มเหลว หากมีการเพิ่มภาษีศุลกากรเข้ามาอีกครั้ง การคาดการณ์ล่าสุดบ่งชี้ว่าการเติบโตของ GDP ประจำปีของจีนจะชะลอตัวลงประมาณ 1 จุดเปอร์เซ็นต์ การลดลงนี้จะส่งผลกระทบต่อภาคการค้าและการลงทุนเป็นหลัก
เพื่อรับมือกับผลกระทบที่อาจเกิดขึ้น จีนมีแผนฉุกเฉินดังนี้:
- แพ็คเกจกระตุ้นเศรษฐกิจที่ได้รับการอนุมัติแล้วในช่วงต้นปี 2024
- แม้ไม่สามารถชดเชยผลกระทบเชิงลบทั้งหมดได้ แต่ช่วยลดผลกระทบโดยตรงต่ออุปสงค์และการจ้างงานในประเทศ
ในขณะเดียวกัน จีนได้ดำเนินจุดยืดด้านการเงินด้วยการลดอัตราดอกเบี้ย และคาดว่าอัตราเงินเฟ้อจะต่ำกว่าศูนย์ในปี 2025 ซึ่งสะท้อนถึงสภาพเศรษฐกิจที่อ่อนแอ:
- อัตราเงินเฟ้อ CPI ลดลงจากคาดการณ์เดิมที่ 0.7% เป็น -0.1%
- มีแนวโน้มที่จีนจะลดดอกเบี้ยอีกครั้งในไตรมาสที่ 4
ความต้องการในประเทศยังไม่ฟื้นตัว และภาวะเงินฝืดอาจกลายเป็นข้อจำกัดในระยะกลาง การวิเคราะห์ของเราเน้นต่อความผันผวนโดยนัยที่เพิ่มขึ้น โดยเฉพาะในตลาดอนุพันธ์และอัตราดอกเบี้ย
ในแง่ของตลาดการเงินและการค้า เราได้สังเกตประเด็นสำคัญต่อไปนี้:
- ความเชื่อมั่นในตลาดธุรกรรมทางการเงินยังคงอ่อนไหวต่อการเจรจาการค้า
- ธนาคารประชาชนจีน (PBOC) อาจใช้เครื่องมือผ่อนคลายมากขึ้น
- การป้องกันความเสี่ยงด้วยเครื่องมืออนุพันธ์ในภูมิภาคเริ่มกลับมาเห็นอีกครั้ง
- ค่าเงินหยวนยังอยู่ในการควบคุมเพื่อป้องกันการไหลออกของเงินทุน
สำหรับกลยุทธ์ด้านตราสารอนุพันธ์ ขณะนี้เราแนะนำ:
- ลดการเปิดรับความเสี่ยงจากตราสารอนุพันธ์ตามวัฏจักร
- สนับสนุนสเปรดปฏิทินในตลาดตราสารหนี้ที่สะท้อนการปรับลดอัตราดอกเบี้ยปลายปี
- เลือกตราสารเวลากลางถึงปลายปีเพื่อหลีกเลี่ยงเวก้าที่ราคาแพง
- จับตาดูความผันผวนระยะยาวที่ยังคงสูง แต่มีโอกาสปรับลดได้ หากไม่มีความเสี่ยงทั่วโลกเพิ่มขึ้น
ในทางปฏิบัติ นักลงทุนควรให้ความสำคัญกับ:
- ข้อมูลจากธนาคารกลางจีนและมาตรการกระตุ้นรายสัปดาห์
- ตัวเลขการนำเข้าของภูมิภาคเอเชียตะวันออก ซึ่งบ่งชี้ความต้องการทั่วโลก
- ข้อกำหนดมาร์จิ้นในตำแหน่ง OTC swap ที่อาจเปลี่ยนแปลงหากเงินเฟ้อยังคงติดลบ
- การตรวจสอบความเสี่ยง δ (เดลต้า) สำหรับองค์กรส่งออกในช่วงไตรมาสที่ 2
จากการลดภาษีศุลกากรที่เริ่มมีผลก่อนฤดูการส่งออกฤดูร้อน คาดว่าจะมีการปรับกระแสการค้าใหม่ แต่อย่างไรก็ตาม ทุกอย่างขึ้นอยู่กับผลการเจรจาในเดือนมิถุนายน
ในภาพรวม ราคาตราสารอนุพันธ์ในเอเชียยังสะท้อนความคาดหวังจากนโยบายการเงินมากกว่าผลของสงครามการค้า โดยเราจะติดตามอย่างใกล้ชิดผ่าน:
- การดำเนินการด้านสภาพคล่องรายสัปดาห์ของธนาคารกลาง
- แนวโน้มสินเชื่อ
- ข้อมูล PMI ที่ล่าช้า
สุดท้ายนี้ แม้จะมีความไม่แน่นอน แต่ในระยะสั้นการคลี่คลายของภาษีการค้าเป็นสัญญาณบวก และควรใช้แนวทางระมัดระวังในการเปลี่ยนผ่านไปสู่ไตรมาสที่ 3 เมื่อช่วงเวลา 90 วันของการเจรจาสิ้นสุดลง
เริ่มซื้อขายทันที – คลิกที่นี่ เพื่อสร้างบัญชีจริงของ VT Markets