ดัชนีเฉลี่ยอุตสาหกรรมดาวโจนส์ทะลุ 42,400 ขึ้นสูงกว่า 1,100 จุด ท่ามกลางการลดภาษี

    by VT Markets
    /
    May 13, 2025
    แน่นอน! ต่อไปนี้คือบทความของคุณในรูปแบบที่อ่านข้อความได้ง่ายขึ้น โดยจัดแบ่งเป็น

    และใช้

  • สำหรับหัวข้อในรูปแบบรายการ:

    ดัชนีเฉลี่ยอุตสาหกรรมดาวโจนส์พุ่งขึ้นกว่า 1,100 จุด ทะลุ 42,400 จุด หลังจากมีการประกาศลดภาษีนำเข้าระหว่างสหรัฐและจีน โดยสหรัฐฯ จะลดภาษีนำเข้าสินค้าจากจีนลงเหลือ 30% ขณะที่จีนลดภาษีนำเข้าสินค้าจากสหรัฐฯ ลงเหลือ 10% ในอีก 90 วันข้างหน้า

    ข้อมูลเงินเฟ้อของสหรัฐฯ รวมถึงดัชนีราคาผู้บริโภค (CPI) ประจำเดือนเมษายน จะเผยแพร่ในเร็วๆ นี้ โดยคาดว่าอัตราเงินเฟ้อจะเพิ่มขึ้น แม้ว่าเงินเฟ้อจะลดลงจากจุดสูงสุด แต่การปรับลดอัตราดอกเบี้ยของธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) ก็ยังช้ากว่าที่ตลาดคาดไว้

    ผู้เข้าร่วมตลาดส่วนใหญ่คาดการณ์ว่าเฟดจะคงอัตราดอกเบี้ยไว้จนถึงอย่างน้อยเดือนกันยายน โดยปัจจุบัน เทรดเดอร์ประมาณ 60% คาดว่าอัตราดอกเบี้ยจะคงที่ในเดือนกรกฎาคม ซึ่งถือเป็นการเปลี่ยนแปลงจากฉันทามติก่อนหน้านี้ที่ระบุว่าจะมีการปรับลดอัตราดอกเบี้ย

    ดัชนีดาวโจนส์ฟื้นตัวขึ้นแล้ว 16% นับตั้งแต่ต้นเดือนเมษายน แต่ยังคงต่ำกว่าจุดสูงสุดอยู่ 6% ประสิทธิภาพของ DJIA ซึ่งประกอบด้วยหุ้นหลัก 30 ตัว ได้รับอิทธิพลจากรายได้ของบริษัทและข้อมูลเศรษฐกิจมหภาค

    ทฤษฎีดาวโจนส์เป็นเทคนิคในการระบุแนวโน้มโดยใช้ดัชนี DJIA และดัชนีการขนส่งดาวโจนส์ (DJTA) การซื้อขายดัชนี DJIA สามารถทำได้โดยใช้:

    • กองทุน ETF
    • สัญญาซื้อขายล่วงหน้า
    • อนุพันธ์
    • กองทุนรวม

    บทความนี้สรุปการฟื้นตัวอย่างแข็งแกร่งของดัชนีอุตสาหกรรมดาวโจนส์ ซึ่งขับเคลื่อนโดยความตึงเครียดด้านการค้าระหว่างสหรัฐอเมริกาและจีนเป็นหลัก ทั้งสองประเทศได้ตกลงที่จะลดภาษีศุลกากรชั่วคราวเป็นระยะเวลา 90 วัน โดยรายละเอียดมีดังนี้:

    • ฝั่งสหรัฐอเมริกา: ภาษีนำเข้าจากจีนจะลดลงเหลือ 30%
    • จีน: ลดภาษีศุลกากรสินค้าของสหรัฐฯ ลงเหลือ 10%

    ความขัดแย้งทางการค้าที่คลี่คลายลงนี้ส่งผลให้ความเชื่อมั่นของตลาดพุ่งสูงขึ้น ซึ่งส่งผลให้หุ้นปรับตัวสูงขึ้นอย่างมาก การพุ่งขึ้น 1,100 จุดของดัชนี Dow Jones ถือเป็นการเพิ่มขึ้นในวันเดียวที่มากที่สุดนับตั้งแต่ต้นเดือนเมษายน การดีดตัวขึ้นนี้ทำให้ดัชนีแตะระดับ 42,400 จุด ซึ่งถือเป็นการฟื้นตัวประมาณ 16% ในช่วงหกสัปดาห์

    อย่างไรก็ตาม เรายังขาดจุดสูงสุดตลอดกาลประมาณ 6% นักลงทุนกำลังชั่งน้ำหนักว่าการเคลื่อนไหวขึ้นนี้มีความเข้มแข็งเพียงพอที่จะดำเนินต่อไปหรือไม่ หรือว่ากำลังแสดงสัญญาณของการหมดแรงในช่วงแรก

    การดีดตัวนี้เกิดขึ้นภายใต้เงาของการเผยแพร่ข้อมูลเงินเฟ้อที่กำลังจะมีขึ้น โดยเฉพาะ:

    • ตัวเลข CPI เดือนเมษายน
    • ข้อมูลค่าจ้าง
    • ข้อมูลราคาที่อยู่อาศัยล่าสุด

    ปัจจัยเหล่านี้ชี้ให้เห็นถึงแรงกดดันด้านเงินเฟ้อที่เพิ่มขึ้น สถานการณ์จึงซับซ้อนขึ้นสำหรับเฟดที่ยังไม่เร่งปรับอัตราดอกเบี้ย

    ผู้สังเกตการณ์ตลาดส่วนใหญ่คาดว่า เฟดจะไม่ปรับอัตราดอกเบี้ยจนกว่าจะถึงเดือนกันยายน ซึ่งต่างจากช่วงต้นปีที่คาดว่าจะมีการปรับลดกลางฤดูร้อน

    จากข้อมูลล่าสุดพบว่า:

    • 60% ของสถานะในตลาดเงินเชื่อว่าเฟดจะยังไม่เปลี่ยนแปลงอัตราดอกเบี้ยในเดือนกรกฎาคม
    • มุมมองดังกล่าวได้รับการสนับสนุนจากคำแนะนำของผู้กำหนดนโยบาย

    ดัชนี Dow Jones มีส่วนประกอบของหุ้นขนาดใหญ่ 30 ตัว จากหลากหลายภาคธุรกิจ เช่น:

    • อุตสาหกรรม
    • การเงิน
    • เทคโนโลยี

    ดังนั้น ดัชนีดาวโจนส์จึงมีความอ่อนไหวต่อทั้งนโยบายการค้า การเติบโตทางเศรษฐกิจ และรายได้ของบริษัท

    ต้นทุนปัจจัยการผลิตที่ลดลงจากนโยบายลดภาษีศุลกากรอาจช่วยเพิ่ม:

    • อัตรากำไรในอุตสาหกรรมการผลิต
    • กำไรในธุรกิจค้าปลีก

    แต่ข้อดีนี้อาจถูกหักล้างหากอัตราเงินเฟ้อทำให้ผลตอบแทนพันธบัตรปรับตัวสูงขึ้น

    จากมุมมองของนักวิเคราะห์ ความผันผวนของหุ้นในระยะสั้นดูเหมือนจะเพิ่มขึ้น โดยเฉพาะเมื่อข้อมูลเงินเฟ้อไม่สอดคล้องกับการคาดการณ์การผ่อนคลายของนโยบายการเงินจากเฟด

    ขณะนี้ ตลาดออปชั่นเริ่มแสดงสัญญาณของความไม่แน่นอนต่อสถานการณ์ดังกล่าว โดย:

    • ความผันผวนโดยนัย (Implied Volatility) เพิ่มขึ้นในสัปดาห์ที่ผ่านมา
    • ผู้ซื้อขายฟิวเจอร์สพบความไม่แน่นอนที่เพิ่มขึ้นต่อข้อมูลเงินเฟ้อและท่าทีของเฟด

    อย่างไรก็ตาม ทฤษฎีดาวโจนส์ยังแสดงสัญญาณที่คลุมเครืออยู่ในช่วงเวลานี้ แม้ว่าดัชนี DJIA จะปรับตัวขึ้นอย่างแข็งแกร่ง แต่:

    • ดัชนีขนส่งดาวโจนส์ (DJTA) ยังไม่แสดงการยืนยันทิศทางแนวโน้ม

    ความแตกต่างนี้อาจชี้ให้เห็นถึงความเปราะบาง หากบริษัทด้านการขนส่งหรือโลจิสติกส์ส่งสัญญาณถึงอุปสงค์ที่อ่อนแอลง

    ในช่วงต่อไป นักลงทุนควรจับตา:

    • รายได้ของบริษัทภายใน DJIA
    • หุ้นที่ได้รับผลกระทบจากการค้าระหว่างประเทศ
    • ต้นทุนปัจจัยการผลิตที่ผันผวน

    ETF ที่ติดตามดัชนี Dow และอนุพันธ์ที่มีเลเวอเรจ เช่น:

    • สัญญาซื้อขายล่วงหน้า
    • ออปชั่น

    มีแนวโน้มที่จะมีปริมาณการซื้อขายสูงขึ้นในช่วงการเผยแพร่ข้อมูล CPI และคำแถลงจากธนาคารกลางสหรัฐ

    โดยสรุป ในสถานการณ์ปัจจุบัน ตลาดยังคงตอบสนองต่อข่าวสารมากกว่าที่จะคาดการณ์ล่วงหน้า นี่จึงกลายเป็นเงื่อนไขที่ให้รางวัลแก่ผู้มีความคล่องตัวเชิงกลยุทธ์ มากกว่าผู้ที่ยึดถือแนวโน้มมหภาคมากจนเกินไป

    เริ่มซื้อขายทันที – คลิกที่นี่ เพื่อสร้างบัญชีจริงของ VT Markets

  • see more

    Back To Top
    Chatbots