ดัชนีดอลลาร์สหรัฐยังคงทรงตัวหลังจากแตะระดับต่ำสุดในรอบ 5 วันบริเวณ 99.20 โดยดัชนีซึ่งติดตามดอลลาร์สหรัฐเทียบกับสกุลเงินหลัก 6 สกุล ในปัจจุบันอยู่ที่ประมาณ 99.40 ซึ่งใกล้เคียงกับระดับต่ำสุดก่อนหน้านี้ การพัฒนาด้านภูมิรัฐศาสตร์อาจส่งผลกระทบต่อดัชนี โดยการเจรจาการค้าระหว่างจีนและสหรัฐฯ ในสวิตเซอร์แลนด์ และความตึงเครียดระหว่างปากีสถานและอินเดีย ด้านเศรษฐกิจ ได้แก่ การตัดสินใจเรื่องอัตราดอกเบี้ยของธนาคารกลางสหรัฐ ซึ่งคาดว่าจะคงอัตราดอกเบี้ยไว้ที่ 4.25%-4.50% แม้จะมีการเรียกร้องให้ปรับลดอัตราดอกเบี้ยก็ตาม
ผลกระทบจากการตัดสินใจอัตราดอกเบี้ยของธนาคารกลางสหรัฐ
หากธนาคารกลางสหรัฐคงอัตราดอกเบี้ยไว้ ตลาดคาดการณ์ว่า
- โอกาสที่ธนาคารกลางสหรัฐจะปรับลดอัตราดอกเบี้ยในเดือนมิถุนายน อยู่ที่ 28.3%
- โอกาสที่อัตราดอกเบี้ยจะลดลงในช่วงปลายเดือนกรกฎาคม อยู่ที่ 74.2%
นอกจากนี้ นักลงทุนยังจับตาแถลงการณ์ของประธานธนาคารกลางสหรัฐหลังจากการตัดสินใจเรื่องอัตราดอกเบี้ย โดยปัจจัยเหล่านี้ทำให้ดัชนีดอลลาร์สหรัฐฯ อาจเผชิญกับแนวต้านที่ 100.22 โดยมีแนวรับที่อาจอยู่ที่:
- 97.73
- 96.94
- 95.25
- 94.56
ธนาคารกลางมีเป้าหมายที่จะรักษาเสถียรภาพของราคา โดยทั่วไปจะรักษาอัตราเงินเฟ้อให้ใกล้เคียง 2% ผ่านการปรับอัตราดอกเบี้ยของนโยบาย นโยบายการเงินมักได้รับการจัดการผ่านการเปลี่ยนแปลงอัตราดอกเบี้ย โดยมีแนวโน้มจากสองกลุ่มหลัก:
- กลุ่มนกพิราบ สนับสนุนอัตราดอกเบี้ยที่ต่ำลงเพื่อกระตุ้นการเติบโตทางเศรษฐกิจ
- กลุ่มนกเหยี่ยว สนับสนุนอัตราดอกเบี้ยที่สูงขึ้นเพื่อควบคุมเงินเฟ้อ
ปฏิสัมพันธ์ระหว่างสองบทบาทนี้สามารถส่งผลต่อการตัดสินใจและตลาดการเงินในที่สุด ปัจจุบัน ดัชนีดอลลาร์สหรัฐฯ (DXY) ยังคงอยู่เหนือระดับต่ำสุดในรอบ 5 วันเล็กน้อย ซึ่งบ่งชี้ถึงความสมดุลของความเชื่อมั่นที่อาจเกิดขึ้นหลังจากแรงกดดันในช่วงสั้นๆ โดยการร่วงลงมาที่ราวๆ 99.20 เมื่อต้นสัปดาห์นี้ได้รับความสนใจ แต่ราคาได้ทรงตัวอยู่ใกล้ระดับ 99.40 แสดงว่าเทรดเดอร์ยังไม่พร้อมที่จะผลักดันราคาไปในทิศทางใดอย่างชัดเจน ความผันผวนจึงยังคงอยู่ในกรอบแคบ
อิทธิพลระดับโลกต่อความรู้สึกต่อสกุลเงิน
เบื้องหลังตัวเลขดัชนี สถานการณ์ทางภูมิรัฐศาสตร์ยังเป็นแรงกดดันสำคัญหลายประการ ได้แก่
- การเจรจาทางการทูตระหว่างจีนและสหรัฐฯ ที่สวิตเซอร์แลนด์
- ความตึงเครียดระหว่างปากีสถานและอินเดีย ที่อาจส่งผลกระทบต่อสินทรัพย์เสี่ยง
เหตุการณ์เหล่านี้อาจเปลี่ยนความต้องการในสินทรัพย์ปลอดภัย เช่น ดอลลาร์สหรัฐ ทั้งในเชิงบวกหรือเชิงลบ ขึ้นอยู่กับบริบท ความเสี่ยงระดับภูมิรัฐศาสตร์มักส่งผลโดยตรงไปยังอุปสงค์และความเชื่อมั่นของนักลงทุน
อย่างไรก็ตาม จุดสนใจหลักอยู่ที่นโยบายการเงิน โดยเฉพาะจากธนาคารกลางสหรัฐ การคงอัตราดอกเบี้ยที่ระดับ 4.25%-4.50% นั้นเป็นไปตามความคาดหมายของตลาด แต่ความสนใจในตอนนี้ไม่ได้อยู่แค่ที่ระดับปัจจุบัน แต่อยู่ที่ว่าอะไรจะเกิดขึ้นต่อไป
ปัจจุบัน ความน่าจะเป็นของการปรับลดอัตราดอกเบี้ยตามข้อมูลสัญญาซื้อขายล่วงหน้ามีดังนี้:
- เดือนมิถุนายน: 28.3%
- เดือนกรกฎาคม: 74.2%
ด้วยความน่าจะเป็นเหล่านี้ ผู้ค้าและนักลงทุนควรวางกลยุทธ์การซื้อขายให้สอดคล้อง โดยเฉพาะในตลาดอัตราดอกเบี้ยล่วงหน้าและเครื่องมือที่เกี่ยวข้องกับการเคลื่อนไหวของค่าเงิน
คำแถลงของประธานเฟด “เจอโรม พาวเวลล์” หลังการประชุม มีศักยภาพในการเคลื่อนไหวตลาดมากกว่าการตัดสินใจในทางเทคนิคเสียอีก ถ้อยคำเล็กน้อยที่แสดงถึงความ “ระมัดระวัง” หรือ “อดทน” มักจะถูกตีความว่าเป็นสัญญาณของความเปลี่ยนแปลงที่อาจกำลังจะเกิดขึ้น
เราจะต้องจับตาว่าเฟดพูดถึงแนวโน้มอัตราเงินเฟ้อในอนาคตอย่างไร และตัวชี้วัดด้านการจ้างงานจะยังคงอยู่ในระดับที่ดึงดูดสายตาของเฟดหรือไม่ ระดับแนวต้านที่สำคัญของดัชนี DXY อยู่ที่ 100.22 ซึ่งยังคงเป็นอุปสรรคสำคัญต่อการปรับตัวขึ้น
ส่วนแนวรับที่สำคัญ ได้แก่:
- 97.73
- 96.94
- 95.25
- 94.56
ระดับแนวรับเหล่านี้จะเป็นประโยชน์มากขึ้นหากตลาดเปลี่ยนแปลงมาในทิศทางที่หวั่นกลัวความเสี่ยง หรือหากข้อมูลอัตราเงินเฟ้อลดลงเร็วกว่าที่คาดไว้
ปัจจัยสำคัญที่จะขับเคลื่อนทิศทางดัชนียังคงเป็นการคาดการณ์เกี่ยวกับแนวโน้มเงินเฟ้อ ซึ่งจะส่งผลต่อวิธีการดำเนินนโยบายของธนาคารกลาง เช่น เฟด ที่พยายามปรับสมดุลระหว่าง:
- การเติบโตทางเศรษฐกิจ
- การรักษาราคาให้นิ่ง
- การดูแลการจ้างงาน
ในทางปฏิบัตินักวิเคราะห์มักจะแบ่งแนวทางของคณะกรรมการนโยบายการเงินเป็นกระแส “แข็งกร้าว” หรือ “ผ่อนคลาย” โดย:
- ฝ่ายแข็งกร้าว (hawkish) เน้นเรื่องเสถียรภาพของราคาและพยายามชะลอการขยายตัวที่ร้อนแรงเกินไป
- ฝ่ายผ่อนคลาย (dovish) เน้นการส่งเสริมการจ้างงานและการบริโภคเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจ
มุมมองเหล่านี้ส่งผลต่อการลงคะแนนของคณะกรรมการ FOMC และช่วยให้ตลาดคาดการณ์ทิศทางนโยบายล่วงหน้าได้
กลยุทธ์การลงทุนในช่วงสัปดาห์หน้าและเดือนต่อๆ ไป ควรรวมการวิเคราะห์ปัจจัยทั้งหมดนี้ โดยเฉพาะเมื่อข้อมูลเงินเฟ้อเดือนมีนาคมและเมษายน รวมถึงข้อมูลการจ้างงานใหม่ๆ เข้ามาเผยแพร่ ดังนั้น เอกสารต่างๆ เช่น คำแถลงนโยบาย, รายงานเศรษฐกิจ และแถลงข่าวของเจ้าหน้าที่เฟด จึงมีศักยภาพในการเป็นตัวกระตุ้นการซื้อขาย
เริ่มซื้อขายทันที – คลิกที่นี่ เพื่อสร้างบัญชีจริงของ VT Markets